โครงงานวิชาคอมพิวเตอร์
โรคไข้เลือดออก
จัดทำโดย
เด็กชายศิริวัฒน์
แสงสังข์ เลขที่ 10 ชั้น ม.3/3
เด็กหญิงธัญชนก
บูรัมย์ เลขที่ 20 ชั้น ม.3/3
เด็กหญิงสุพิชชา
กุณาศล เลขที่ 38 ชั้น ม.3/3
ครูที่ปรึกษา
ครูตรึงใจ สีหะมงคล
โครงงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของการเรียนการสอนวิชาการงานอาชีพและเทคโนโลยี(ง23101)
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3
โรงเรียนสีคิ้ว “สวัสดิ์ผดุงวิทยา” อำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา 30140
ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา
2558
บทที่ 1 บทนำ
ที่มาและความสำคัญ
โรคไข้เลือดออก ที่พบในประเทศไทยและประเทศใกล้เคียงในเอเชียอาคเนย์เกิดจากไวรัสชนิดหนึ่ง จึง
ซึ่งนับว่าเป็นโรคที่เป็นปัญหาสำคัญทางด้านสาธารณสุขและการแพทย์
เพราะมีผู้ป่วยปีละเป็นจำนวนมาก และผู้ป่วยไข้เลือดออกอาจเกิดจากภาวะช็อก
ซึ่งทำให้ถึงเสียชีวิตได้รวดเร็ว
ถ้าไม่ได้รับการวินิจฉัยและการดูแลรักษาอย่างถูกต้อง คณะผู้จัดทำจึงศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับโรคไข้เลือดออก
เพื่อเป็นความรู้แก่ผู้ที่ศึกษาและสนใจในโรคไข้เลือดออก
วัตถุประสงค์
1.เพื่อศึกษาเกี่ยวกับโรคไข้เลือดออก
2.เพื่อเผยแพร่ความรู้เรื่องโรคไข้เลือดออกลงในเว็บไซต์
ขอบเขตของโครงงาน
1.ศึกษาสาเหตุการเกิดโรคไข้เลือดออก
2.ศึกษาวิธีการป้องกัน และรักษาการเกิดโรคไข้เลือดออก
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
1.ผู้ที่เข้ามาศึกษาโครงงานโรคไข้เลือดออกจะได้รับความรู้โรคไข้เลือดออก
2.ทำให้รู้จักวิธีป้องกันโรคไข้เลือดออก
3.ทำให้เกิดประโยชน์กับผู้ที่สนใจ
บทที่ 2 เอกสารที่เกี่ยวข้อง
ยุงลาย
การระบาดของไข้เลือดออกในประเทศไทย
และส่วนใหญ่ในประเทศเอเซียเกิดจากการกัดของยุงลายหรือที่เรียกว่า Aedes
aegypti
แหล่งที่อยู่ยุงลาย
ยุงลายจะพบมากในเขตร้อนชื้นโดยเฉพาะในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้
ยุงชนิดนี้จะพบมากในเขตชุมชนโดยเฉพาะในถิ่นที่แออัด เนื่องจากมีแหล่งน้ำให้ยุงแพร่พันธุ์
แต่ในชนบทโดยเฉพาะที่เริ่มแออัดก็จะพบว่ามียุงลายเพิ่มมากขึ้น ความกดอากาศก็มีผลต่อความเป็นอยู่ของยุง
พบว่าในพื้นที่ระดับสูงกว่าน้ำทะเลไม่เกิน 500 เมตรจะมีความหนาแน่นของยุงมาก
แต่ในพื้นที่เป็นภูเขาจะพบยุงชนิดนี้น้อย
การสืบพันธุ์ยุงลาย
ตัวเมียจะวางไข้ในน้ำ
ถ้าอุณหภูมิและความชื้นเหมาะสมจะเป็นตัวอ่อนในไข่ในเวลา 48 ชั่วโมง และไข่ที่มีตัวอ่อนจะอยู่ได้เป็นปี
เมื่อสภาแวดล้อมเหมาะสมจึงออกมาเป็นตัวอ่อน เมื่อตัวอ่อนออกจากไข้จะใช้เวลา 8
วันจนกลายเป็นยุง แต่หากสิ่งแวดล้อมไม่เหมาะสมอาจจะใช้เวลา 2-3
สัปดาห์ ในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ยุงส่วนใหญ่จะวางไข่ในแหล่งกักน้ำ
เช่น กะละ กระป๋อง ยางรถเก่า ถังเก็บน้ำ ถาดรองแอร์ แก้วรองขาโต๊ะ แจกันเป็นต้น
การหาอาหารยุงลาย
เมื่อเป็นตัวแก่มันจะเริ่มหาอาหารใน 24-36 ชั่วโมง
อาหารที่สำคัญคือเลือดของสัตว์เลือดอุ่น ยุงจะออกหาอาหารวันละ 2 ครั้งคือตอนเช้า และตอนบ่ายจนค่ำ อาหารแต่ละมือยุงอาจจะกัดหลายคนก็ได้
วึ่งเราจะพบว่าอาจจะพบคนที่เป็นไข้เลือดออกพร้อมๆกันหลายคนในครอบครัวเดียวกัน
ยุงลายมักจะไม่ออกหากินในเวลากลางคืน แต่มีแสงสว่างเพียงพอยุงก็อาจจะหากินตอนกลางคืน ยุงชอบอยู่ในที่มืด
และชื้น เช่นห้องนอน ห้องน้ำ ห้องครัว
โดยเกาะใต้เฟอร์นิเจอร์หรือตามเสื้อผ้าที่แขวนอยู่ ม่าน ผนัง
ระยะทางที่ยุงบิน
โดยทั่วไปยุงจะบินไม่เกิน
100
เมตรจากที่มันกลายเป้นตัวแก่
แต่จากรายงานบางประเทศยุงอาจจะบินได้ไกล 400 เมตร
ดังนั้นจะเห็นได้ว่าหากเราช่วยกันใส่ใจดูแลบริเวณรอบบ้านเพียงแค่ 100 เมตรเราก็อาจจะปลอดภัยจากไข้เลือดออก
อายุของยุงลาย
โดยเฉลี่ยยุงจะมีอายุ
8 วัน
แต่ฤดูฝนจะมีอายุยาวกว่านี้ซึ่งอาจจะทำให้มีการแพร่พันธุ์ของไข้เลือดออกมากขึ้น
โรคไข้เลือดออก
โรคไข้เลือดออก
ที่พบในประเทศไทยและประเทศใกล้เคียงในเอเซียอาคเนย์เกิดจากไวรัส dengue จึงเรียกชื่อว่า Dengue hemorrhagic fever (DHF) ซึ่งนับว่าเป็นโรคที่เป็นปัญหาสำคัญทางด้านสาธารณสุขและการแพทย์
เพราะมีผู้ป่วยปีละเป็นจำนวนมาก และผู้ป่วยไข้เลือดออกอาจเกิดจากภาวะช็อก
ซึ่งทำให้ถึงเสียชีวิตได้รวดเร็ว
ถ้าไม่ได้รับการวินิจฉัยและการดูแลรักษาอย่างถูกต้อง
โดยเริ่มระบาดครั้งแรกที่ประเทศ ฟิลิปปินส์ เมื่อ พ.ศ. 2497
และระบาดในประเทศไทยเมื่อ พ.ศ. 2501
ใน พ.ศ. 2524 เริ่มมีการระบาดของไข้เลือดออกเดงกีเป็นครั้งแรกที่ คิวบา
ภายหลังจากการระบาดของไข้เดงกีในปี 2520
หลังจากนั้นก็มีรายงานของไข้เลือดออกเดงกีเป็นโรคที่เกิดขึ้นใหม่ (emerging
disease) ในประเทศต่างๆ ในอเมริกากลางและอเมริกาใต้มากขึ้น เมื่อมีการเริ่มระบาดในประเทศไทยครั้งแรกเมื่อปี
พ.ศ.2501 มีรายงานผู้ป่วย 2,158 ราย คิดเป็นอัตราป่วยเท่ากับ 8.8 ต่อประชากรแสนคน
มีอัตราป่วยตายร้อยละ 13.90 โดยมีรายงานจำนวนผู้ป่วยมีแนวโน้มสูงมากขึ้นตลอด
แต่อัตราป่วยตายลดน้อยลงอย่างชัดเจน ผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกเดงกีส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มอายุ
5 – 9 ปี รองลงมาได้แก่กลุ่มอายุ 10-14 ปี
ในปัจจุบันมีการแพร่ระบาดของโรคอย่างกว้างขวาง
โดยจะพบผู้ป่วยได้ทุกจังหวัดและทุกภาคของประเทศ
สาเหตุและเชื้อที่เป็นสาเหตุของไข้เลือดออก
โรคไข้เลือดออก
เป็นโรคติดต่อที่เกิดจากยุงลายบ้าน ( Aedes aegypti ) ตัวเมีย
บินไปกัดคนที่ป่วยเป็นไข้เลือดออก โดยเฉพาะช่วงที่มีไข้สูง
เชื้อไวรัสแดงกีจะเพิ่มจำนวนในตัวยุงประมาณ 8-10 วัน
เชื้อไวรัสแดงกีจะไปที่ผนังกระเพาะและต่อมน้ำลายของยุง
เมื่อยุงกัดคนก็จะแพร่เชื้อสู่คน เชื้อจะอยู่ในร่างกายคนประมาณ 2-7
วันในช่วงที่มีไข้ หากยุงกัดคนในช่วงนี้ก็จะรับเชื้อไวรัสมาแพร่ให้กับคนอื่น
ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเป็นเด็ก โรคนี้ระบาดในฤดูฝน ยุงลายชอบออกหากินในเวลากลางวัน
ลูกน้ำของยุงลายบ้าน
จะอยู่ในภาชนะขังน้ำชนิดต่างๆ ที่มนุษย์สร้างขึ้น (man-made container) ทั้งที่อยู่ภายในบ้าน
และบริเวณรอบๆ บ้าน เช่น โอ่งน้ำดื่มน้ำใช้ บ่อซีเมนต์เก็บน้ำในห้องน้ำ
ถ้วยหล่อขาตู้กับข้าวกันมด แจกัน ภาชนะเลี้ยงพลูด่าง จานรองกระถางต้นไม้
ยางรถยนต์เก่าและเศษวัสดุต่างๆที่มีน้ำขัง เป็นต้น
ลูกน้ำยุงลายสวน
มักเพาะพันธุ์อยู่ในแหล่งเพาะพันธุ์ธรรมชาติ (natural container) เช่น โพรงไม้
โพรงหิน กระบอกไม้ไผ่ กาบใบพืชจำพวกกล้วย พลับพลึง หมาก ฯลฯ ตลอดจนแหล่งเพาะพันธุ์ที่มนุษย์สร้างขึ้นและอยู่บริเวณรอบๆบ้านหรือในสวน
เช่น ยางรถยนต์เก่า รางน้ำฝนที่อุดตัน ถ้วยรองน้ำยางพาราที่ไม่ใช้แล้ว
หรือแม้แต่แอ่งน้ำบนดิน
เชื้อไวรัส Dengue ซึ่งมี 4 ชนิดคือ Dengue 1,2,3,4 โดยมากผู้
ป่วยที่เป็นโรคไข้เลือดออก จะติดเชื้อซ้ำครั้งที่ 2 (Secondary infection) มีเพียงส่วนน้อยที่ ติดเชื้อครั้งแรก (Primary infection) โดยปกติ
ไข้เลือดออกที่พบกันทั่วๆไปทุกปี มักจะเกิดจาก เชื้อไวรัส Dengue ชนิดที่ 3 หรือ 4 แต่ ที่มีข่าวมาในระยะนี้ จะเป็นการติดเชื้อในสายพันธ์
ที่ 2 เป็นสายพันธ์ ที่พบได้ประปรายเช่นกัน แต่อาการมักจะรุนแรงกว่า สายพันธ์ที่ 3,
4 และต้องเป็นการติดเชื้อซ้ำ ครั้งที่สอง Secondary
Infection
การติดเชื้อไวรัส Dengue
ไวรัสเดงกี เป็น
single strandcd
RNA ไวรัส อยู่ใน Family Flaviviridae มี 4
serotypes ( DEN1, DEN2, DEN3, DEN4 ) ซึ่งมี antigen ของกลุ่มบางชนิดร่วมกัน
จึงทำให้มี cross reaction กล่าวคือ
เมื่อมีการติดเชื้อชนิดใดชนิดหนึ่งแล้ว
จะมีภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสชนิดนั้นอย่างถาวรตลอดชีวิต
แต่จะมีภูมิคุ้มกันต่อไวรัสเดงกีอีก 3 ชนิด ในช่วงระยะสั้นๆ ประมาณ 6-12 เดือน
(หรืออาจสั้นกว่านี้ ) ดังนั้น ผู้ที่อยู่ในพื้นที่ที่มีไวรัสเดงกีชุกชุม
อาจมีการติดเชื้อ 3 หรือ 4 ครั้งได้
ตามทฤษฎี ไวรัสทั้ง 4 serotypes สามารถทำให้เกิด DF (Dengue Fever) หรือ DHF
(Dengue hemorrhagic fever) ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆ
อีกหลายประการ ที่สำคัญคือ อายุ แล ะภูมิคุ้มกันของผู้ป่วย
มีการศึกษาทางระบาดวิทยาที่แสดงว่าการติดเชื้อซ้ำ (secondary infection) ด้วยชนิดที่ต่างจากการติดเชื้อครั้งแรก (primary infection) เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ เพราะส่วนใหญ่ประมาณ ร้อยละ 80-90
ของผู้ป่วยที่เป็น DHF มีการติดเชื้อซ้ำ
ส่วนผู้ที่เป็น DHF เมื่อมีการติดเชื้อครั้งแรกนั้น มักเป็นในเด็กอายุต่ำกว่า 1 ปี
ชนิดของไวรัสเดงกีที่เป็นครั้งที่ 1 และ 2 (sequence of infections) อาจมีความสำคัญเช่นเดียวกัน
มีการศึกษาทางระบาดวิทยาในคิวบาและในประเทศที่แสดงว่ามีการติดเชื้อครั้งที่ 2 ด้วย
DEN2 มีโอกาสเสี่ยงสูง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นการตามหลังการติดเชื้อครั้งแรกด้วย DEN1
ในระยะแรกประเทศไทยจะแยกเชื้อ DEN2 จากผู้ป่วย DHF ได้ในอัตราที่สูงมากกว่าชนิดอื่น
แต่ตั้งแต่ พ.ศ. 2526 เป็นต้นมาแยกเชื้อจากผู้ป่วยได้ DEN3
มากกว่าชนิดอื่นๆ การศึกษาทางด้าน moleclar virology พบว่า
มีความแตกต่างใน genotype/strain ที่แยกได้จากที่ต่างๆ
โดยเฉพาะมีการศึกษาเกี่ยวกับ DEN2 พบว่า DEN2 genotype จากประเทศไทย/เวียดนาม
มีศักยภาพสูงที่จะทำให้เกิด DHF เมื่อเป็นการติดเชื้อซ้ำ
องค์การอนามัยโลก
ได้จำแนกกลุ่มอาการโรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเดงกี ตามลักษณะอาการทางคลีนิค
ดังต่อไปนี้
Undiffiferentiate fever (uf) หรือกลุ่มอาการไวรัส
พบในทารกหรือเด็ก จะปรากฎเพียงอาการไข้ 2 – 3 วัน
บางครั้งอาจมีผื่นแบบ maculopapula rash มีอาการคล้ายคลึงกับโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสอื่นๆ
ซึ่งไม่สามารถวินิจฉัยได้จากอาการทางคลีนิค
ไข้เดงกี Dengue Fever-DF มักเกิดกับเด็กโตหรือผู้ใหญ่
อาจมีอาการไม่รุนแรง คือมีอาการไข้ร่วมกับ ปวดศีรษะ ปวดรอบกระบอกตา ปวดกล้ามเนื้อ
ปวดกระดูก และมีผื่น บางรายอาจมีจุดเลือดออกที่ผิวหนัง ตรวจพบ tounrniquet
test positive ผู้ป่วยส่วนใหญ่มีเม็ดเลือดขาวต่ำได้
ในผู้ใหญ่เมื่อหายจากเป็นโรค
แล้วจะมีอาการอยู่นานโดยทั่วไปแล้วไม่สามารถวินิจฉัยจากอาการทางคลีนิคได้แน่นอน
ต้องอาศัย การตรวจทางน้ำเหลือง/แยกเชื้อไวรัส
ไข้เลือดออกเดงกี Dengue
hemorrhagic fever-DHF มีอาการทางคลีนิคเป็นรูปแบบที่ค่อนข้างชัดเจน
คือมีไข้สูงลอย ร่วมกับอาการเลือดออก ตับโต และมีภาวะช็อกในรายที่รุนแรง
ในระยะมีไข้จะมีอาการต่างๆ คล้าย DF แต่จะมีลักษณะเฉพาะของโรค
คือ มีเกล็ดเลือดต่ำและมีการรั่วของพลาสมา ซึ่งถ้าพลาสมารั่วออกไปมาก
ผู้ป่วยจะมีภาวะ ช็อกเกิดขึ้นที่เรียกว่า dengue shock syndrome (DSS) การรั่วของพลาสมา ซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์ของโรคไข้เลือดออกเดงกี
สามารถตรวจพบได้จากการที่มีระดับ Hct สูงขึ้น
มีน้ำในเยื่อหุ้ม ช่องปอดและช่องท้อง
อาการของผู้ที่ติดเชื้อโรคไข้เลือดออก
หลังจากได้รับเชื้อจากยุงที่เป็นพาหะแล้ว
ประมาณ 5 - 8 วัน (ระยะฟักตัว) ผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการของโรค
ซึ่งมีความรุนแรงแตกต่างกันได้ ตั้งแต่มีอาการคล้ายไข้เดงกี
ไปจนถึงมีอาการรุนแรงมากจนถึงช็อก และ ถึงเสียชีวิตได้ โรคไข้เลือดออกเดงกี
มีอาการสำคัญที่เป็นรูปแบบค่อนข้างเฉพาะ 4 ประการ เรียงตามลำดับการเกิดก่อน และ
การเกิดหลัง ดังนี้
ไข้สูงลอย : ไข้ 39-40
ทุกรายจะมีไข้สูงเกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน ส่วนใหญ่ไข้จะสูงเกิน 38.5 องศาเซลเซียส
ไข้อาจสูงถึง 40
–41 องศาเซลเซียส ซึ่งบางรายอาจมีอาการชักเกิดขึ้น
โดยเฉพาะในเด็กที่เคยมีประวัติการชักมาก่อน หรือ ในเด็กเล็กอายุน้อยกว่า 6 เดือน
ผู้ป่วยมักจะมีหน้าแดง ( Flushed face ) อาจตรวจพบคอแดง (injected
pharynx ) ได้ แต่ส่วนใหญ่ผู้ป่วยจะไม่มีอาการน้ำมูกไหล หรืออาการไอ
ซึ่งช่วยในการวินิจฉัยแยกโรคจากหัดในระยะแรก และโรคระบบทางเดินหายใจได้
เด็กโตอาจบ่นปวดศีรษะ ปวดรอบกระบอกตา
ในระยะไข้นี้
อาการทางระบบทางเดินอาหารที่พบบ่อย คือ เบื่ออาหาร อาเจียน
บางรายอาจมีอาการปวดท้องร่วมด้วย ซึ่งในระยะแรกจะปวดโดยทั่วไป และอาจปวดที่ชายโครงขวาในระยะที่มีตับโต
ส่วนใหญ่ไข้จะสูงลอยอยู่ 2
– 7 วัน ประมาณร้อยละ 15 อาจมีไข้สูงนานเกิน 7 วัน
และบางรายไข้จะเป็นแบบ biphasic ได้ อาจพบมีผื่นแบบ erythma
หรือ maculopapular ซึ่งมีลักษณะคล้ายผื่น rubella
ได้
อาการเลือดออก :
อาการเลือดออกที่พบบ่อยที่สุดที่ ผิวหนัง โดยจะตรวจพบว่า เส้นเลือดเปราะ
แตกง่ายการทำ torniquet
test ให้ผลบวกได้ตั้งแต่ 2 –3 วันแรกของโรค
ร่วมกับมีจุดเลือดออกเล็กๆ กระจายอยู่ตามแขน ขา ลำตัว รักแร้ อาจมีเลือดกำเดา
หรือเลือดออกตามไรฟัน
ในรายที่รุนแรง อาจมีอาเจียน แล
ะถ่ายอุจจาระเป็นเลือด ซึ่งมักจะเป็นสีดำ (malena ) อาการเลือดออกในทางเดินอาหาร
ส่วนใหญ่จะพบร่วมกับภาวะช็อก ส่วนใหญ่จะคลำพบตับโตได้ประมาณวันที่ 3- 4
นับแต่เริ่มป่วย ในระยะที่ยังมีไข้อยู่ตับจะนุ่มและกดเจ็บ
ตับโต
ส่วนใหญ่จะคลำพบตับโตได้ประมาณวันที่ 3 – 4 นับ
แต่เริ่มป่วยตับจะนุ่มและกดเจ็บ
ความผิดปกติของระบบไหลเวียนเลือด หรือ
ช็อก : มักจะเกิดช่วงไข้จะลด เป็นระยะที่มีการรั่วของพลาสมา
ซึ่งจะพบทุกรายในผู้ป่วยไข้เลือดออกเดงกี โดยระยะรั่วจะมีประมาณ 24 – 28 ชั่วโมง ประมาณ 1 ใน 3
ของผู้ป่วย ผู้ป่วยไข้เลือดออกเดงกีจะมีอาการรุนแรง
มีภาวะการไหลเวียนล้มเหลวเกิดขึ้น
เนื่องจากมีการรั่วของพลาสมาออกไปยังช่องปอด/ช่องท้อง มากเกิด hypovolemic
shock ซึ่งส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นพร้อมๆ กับที่มีไข้ลดลงอย่างรวดเร็ว
เวลาที่เกิดช็อกจึงขึ้นอยู่กับระยะเวลามีไข้ อาจเกิดได้ตั้งแต่วันที่ 3 ของโรค
(ถ้ามีไข้ 2 วัน ) หรือเกิดวันที่ 8 ของโรค (ถ้ามีไข้ 7 วัน )
ผู้ป่วยจะมีอาการเลวลง เริ่มมีอาการกระสับกระส่าย มือเท้าเย็น ชีพจรเบาเร็ว
ความดันโลหิตเปลี่ยนแปลง ตรวจพบ pulse pressure แคบเท่ากับ
หรือ น้อยกว่า 20 มม.ปรอท (ค่าปกติ 30 - 40 มม.ปรอท) โดยมีความดัน diastolic
เพิ่มขึ้นเล็กน้อย (BP 110/90 , 100/80 มม.ปรอท )
ผู้ป่วยไข้เลือดออกเดงกีที่อยู่ในภาวะช็อกส่วนใหญ่จะมีภาวะรู้สติดี พูดรู้เรื่อง
อาจบ่นกระหายน้ำ
บางรายอาจมีอาการปวดท้องเกิดขึ้นอย่างกระทันหันก่อนเข้าสู่ภาวะช็อก
ซึ่งบางครั้งอาจทำให้วินิจฉัยโรคผิดเป็นภาวะทางศัลยกรรม (acute abdomen )
ภาวะช็อกที่เกิดขึ้นนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ถ้าไม่ได้รับการรักษาผู้ป่วยจะมีอาการเลวลง รอบปากเขียว ผิวสีม่วงๆ ตัวเย็นชืด
จับชีพจรและ/หรือวัดความดันไม่ได้ (profound shock ) ภาวะรู้สติเปลี่ยนไป
และจะเสียชีวิตภายใน 12 – 24 ชั่วโมงหลังเริ่มมีภาวะช็อก
หากว่าผู้ป่วยได้รับการรักษาช็อกอย่างทันท่วงที และถูกต้องก่อนที่จะเข้าสู่ระยะ profound
shock
ส่วนใหญ่ก็จะฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว ในรายที่ไม่รุนแรง
เมื่อไข้ลดลง ผู้ป่วยอาจจะมีมือเท้าเย็นเล็กน้อย ร่วมกับมีการเปลี่ยนแปลงของชีพจร
และความดันเลือด ซึ่งเป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงในระบบการไหลเวียนของเลือด
เนื่องจากมีการั่วของพลาสมาออกไป แต่รั่วไม่มาก จึงไม่ทำให้เกิดภาวะช็อก
ผู้ป่วยเหล่านี้ เมื่อให้การรักษาในระยะสั้นๆ ก็จะดีขึ้นอย่างรวดเร็ว
บทที่ 3 วิธีการดำเนินงาน
โปรแกรมที่ใช้ในการทำโครงงาน
1.โปรแกรม Microsoft Word 2010
2.เว็บไซต์ http://www.blogger.com/
วิธีการดำเนินงาน
1.กำหนดหัวข้อที่จะศึกษา
2.ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับเรื่องที่ศึกษาคือโรคไข้เลือดออก
3.ศึกษาการสร้างเว็บบล็อกเพื่อเผยแพร่ความรู้เรื่องไข้เลือดออก
4.จัดทำโครงงานคอมพิวเตอร์เรื่องโรคไข้เลือดออก
และนำเสนอผ่านเว็บบล็อก
วิธีการสร้างเว็บบล็อก
1. เข้าไปที่ http://www.blogger.com จากนั้นใส่ E-mail ลงในช่องและคลิกถัดไป ดังรูป
2.คลิกที่ บล็อกใหม่ และกำหนดหัวข้อ ตั้งชื่อเว็บไซต์ และเลือกแม่แบบ
ดังรูปเมื่อสร้างบล็อกเสร็จให้กลับมาที่หน้า Home จะเห็นว่าบล็อกของเราไม่มีบทความ
3.เมื่อสร้างบล็อกเสร็จให้กลับมาที่หน้า Home จะเห็นว่าบล็อกของเราไม่มีบทความ ให้คลิกที่รูปปากกาสีส้ม ดังรูป
4.ทำการพิมพ์หรือคัดลอกโครงงาน
และแทรกรูปตามต้องการแล้วกดเผยแพร่ ดังรูป
บทที่ 4 ผลการศึกษา
จากการศึกษาโรคไข้เลือดออกพบว่าโรคไข้เลือดออก
เป็นโรคติดต่อที่เกิดจากยุงลายบ้านตัวเมีย บินไปกัดคนที่ป่วยเป็นไข้เลือดออก
โดยเฉพาะช่วงที่มีไข้สูง เชื้อไวรัสแดงกีจะเพิ่มจำนวนในตัวยุงประมาณ 8-10 วัน
เชื้อไวรัสแดงกีจะไปที่ผนังกระเพาะและต่อมน้ำลายของยุง
เมื่อยุงกัดคนก็จะแพร่เชื้อสู่คน เชื้อจะอยู่ในร่างกายคนประมาณ 2-7
วันในช่วงที่มีไข้ หากยุงกัดคนในช่วงนี้ก็จะรับเชื้อไวรัสมาแพร่ให้กับคนอื่น
ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเป็นเด็ก โรคนี้ระบาดในฤดูฝน ยุงลายชอบออกหากินในเวลากลางวัน
การป้องกัน
แม้ว่าในปัจจุบันกำลังมีการพัฒนาวัคซีนป้องกันการติดเชื้อไวรัสเดงกี่
แต่ก็ยังไม่มียาที่สามารถฆ่าเชื้อไวรัสเดงกี่ได้
ดังนั้นคำตอบที่ดีที่สุดของโรคไข้เลือดออกในปัจจุบันนี้ คือ การป้องกันไม่ให้เป็นโรคโดยการควบคุมยุงลายให้มีจำนวนลดลงซึ่งทำได้โดยการควบคุมแหล่งเพาะพันธุ์ของยุงลายและการกำจัดยุงลายทั้งลูกน้ำและตัวเต็มวัย
และป้องกันไม่ให้ยุงลายกัด
บทที่ 5 สรุปผลการศึกษา
สรุปผลการศึกษา
จากการทำโครงงานพบว่าโรคไข้เลือดออก
คือ โรคติดเชื้อซึ่งมีสาเหตุมาจาก ไวรัสเดงกี่ (Dengue virus) อาการของโรคนี้มีความคล้ายคลึงกับโรคไข้หวัดในช่วงแรก
จึงทำให้ผู้ป่วยเข้าใจคลาดเคลื่อนได้ว่าตนเป็นเพียงโรคไข้หวัด
และทำให้ไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องในทันที โรคไข้เลือดออกมีอาการและความรุนแรงของโรคหลายระดับตั้งแต่ไม่มีอาการหรือมีอาการเล็กน้อยไปจนถึงเกิดภาวะช็อกซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิต
ซึ่งปัจจุบันนี้ ยังไม่มียาต้านไวรัส ที่มีฤทธิ์เฉพาะสำหรับเชื้อไข้เลือดออก
และไม่มีวัคซีนป้องกัน การรักษาโรคนี้ เป็นแบบการรักษาตามอาการ และประคับประคอง
ซึ่งจะได้ผลดี ถ้าให้การวินิจฉัยโรค ได้ตั้งแต่ระยะแรก
ปัญหาและอุปสรรค
การนำโครงงานลงเว็บไซต์สามารถค่อนข้างทำได้ยาก
ข้อเสนอแนะ
การนำเสนอโครงงานในเว็บไซต์ควรทำให้น่าสนใจมากกว่านี้ และเพิ่มเนื้อหา
ข้อมูลเกี่ยวกับโรคไข้เลือดออก
บรรณานุกรม